ทำไมการฉีดพ่นฆ่าเชื้อไวรัส COVID-19 ในอาคารถึงไม่ได้ผล

กรกฎาคม 9, 2021
การระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 นั้นยังไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดและกัดกินภาคธุรกิจไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธุรกิจที่ต้องอาศัยบริการในอาคารสถานที่ปิด อย่างร้านอาหาร ร้านกาแฟ ฟิตเนส โรงหนัง ศูนย์การค้า หรือแม้แต่โรงเรียนกวดวิชา รวมถึงพื้นที่ที่รวมพนักงานจำนวนมากอย่างออฟฟิศ อาคารสำนักงาน ซึ่งทุกวันนี้คนไม่กล้าไปเพราะกลัวความเสี่ยงที่จะติดเชื้อ การฉีดพ่นฆ่าเชื้อเมื่อมีผู้ติดเชื้อนั้นก็เป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ในขณะที่สถาบันวิจัยต่าง ๆ ได้ออกมายืนยันว่าเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้ สามารถแพร่กระจายได้ไกลกว่าระยะประชิดและลอยอยู่ในอากาศได้นานหลายชั่วโมงในพื้นที่ปิด

การพ่นฆ่าเชื้อไวรัสโควิด-19 ในอาคารได้ผลจริงหรือไม่

มาตรการมาแรงที่หลายธุรกิจหยิบยกมาใช้เพื่อสร้างความมั่นใจให้ลูกค้า คือ การพ่นฆ่าเชื้อไวรัส Covid-19 โดยการใช้น้ำยาฆ่าเชื้อสูตรพิเศษบรรจุในเครื่องพ่นละอองฉีดทำความสะอาดภายในอาคารสถานที่ ซึ่งสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทยได้ให้ข้อมูลไว้ว่า วิธีนี้ไม่มีความจําเป็นเพราะไม่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ รวมถึงทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณอีกด้วย โดยเฉพาะน้ำยาฆ่าเชื้ออาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้สัมผัส อีกทั้งเสมหะหรือสารคัดหลั่งจากทางเดินหายใจของผู้ป่วยที่ยังไม่แห้งอาจฟุ้งกระจายขึ้นมาขณะฉีดพ่นทำให้เป็นอันตรายได้ ซึ่งกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณะสุข ได้แนะนำวิธีเช็ดถูทำความสะอาดซึ่งดีกว่าการพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อและสามารถทำได้เอง โดยเลือกสารฆ่าเชื้อให้เหมาะสมกับพื้นผิวสัมผัส ในส่วนผสมตามสัดส่วน ดังนี้

  • แอลกอฮอล์ 70% เหมาะสำหรับพื้นผิวที่เป็นโลหะ
  • ผงซักฟอกผสมน้ำร้อน 70 องศาเซลเซียส เหมาะสำหรับวัสดุที่เป็นผ้า
  • น้ำยาฟอกขาว (6% สารโซเดียมไฮโปคลอไรท์ (Sodium hypochlorite) 1 ส่วน ต่อน้ำ 99 ส่วน เหมาะสำหรับพื้นที่ผิวที่มีละอองเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย
  • ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (3% H2O2) 1 ส่วน ต่อน้ำ 5 ส่วน แต่ควรระมัดระวังการกัดกร่อนพื้นผิวและการสัมผัสของร่างกาย

รังสี UV และการอบโอโซนฆ่าเชื้อไวรัส COVID-19 ได้จริงหรือไม่

รังสีอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet) หรือ UV เป็นรังสีที่อยู่ในแสงอาทิตย์ มีทั้งหมด 3 ชนิด ได้แก่ UVA, UVB ซึ่งเป็นตัวการทำร้ายผิวหมองคล้ำ และ UVC ที่ไม่สามารถผ่านชั้นของโอโซนมายังโลกได้ จึงมีการพัฒนาเทคโนโลยีฆ่าเชื้อโรคด้วย UVC ความเข้มข้นพิเศษที่ดีที่สุดอยู่ที่ 260-265 นาโนเมตร ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อ COVID-19 ได้ แต่เป็นอันตรายต่อผิวหนังและเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง การดำเนินการจึงต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญและทำในพื้นที่ปิดและไม่มีคนอยู่เท่านั้น เหมาะสำหรับปฏิบัติการทางการแพทย์ในโรงพยาบาล โอโซน (Ozone) หรือ o3 แม้จะเป็นก๊าซออกซิเจนในสถานะพิเศษ แต่โอโซนเป็นหนึ่งในก๊าซพิษที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย โอโซนสามารถทำลายเชื้อโรคได้ด้วยการเข้าไปจับโมเลกุลของสารปนเปื้อนและเปลี่ยนโครงสร้างของสารนั้น การอบโอโซนฆ่าเชื้อโรคในห้องปิดจึงต้องใช้ปริมาณโอโซนให้เหมาะสมกับพื้นที่ห้องและควรปล่อยทิ้งไว้จนกว่าโอโซนจะสลายหายไป ไม่ควรสูดดมเพราะโอโซนจะไปทำลายระบบหายใจ ทั้งนี้ยังไม่มีผลวิจัยยืนยันว่าโอโซนสามารถฆ่า COVID-19 ได้จริงหรือไม่

“ละอองฝอยขนาดเล็กจากผู้ติดเชื้อ สามารถลอยได้ไกลถึง 4 เมตร และอยู่ในอากาศได้นานกว่า 45 นาที”

IQAir HealthPro Series improved air quality in the restaurant

เครื่องฟอกอากาศ ลดการติดเชื้อได้จริงหรือไม่

จากคำแนะนำของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค Centre of Disease Control and Prvention หรือ CDC แห่งสหรัฐอเมริกาได้ประกาศว่าในอาคารหรือในพื้นที่ปิดที่อากาศไม่ถ่ายเท ควรจะต้องมีเครื่องฟอกอากาศระดับที่สามารถกรองไวรัสได้มาช่วยลดความเข้มข้นของไวรัสในอากาศ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้มากขึ้น เครื่องฟอกอากาศประสิทธิภาพสูงนั้นสามารถช่วยลดจำนวนเชื้อไวรัสในอากาศได้จริง แต่ต้องเป็นแผ่นกรองที่มีประสิทธิภาพที่ความละเอียดเล็กกว่าไวรัสทุกชนิดบนโลก หรือขนาด 0.02 ไมครอน ในขณะที่ไวรัสสายพันธุ์โคโรนานั้นมีขนาดประมาณ 0.06 ถึง 0.14 ไมครอน แต่อีกปัจจัยสำคัญของเครื่องฟอกอากาศคือพัดลม ซึ่งควรเป็นพัดลมที่มีศักยภาพในการดึงอากาศทั้งพื้นที่มาหมุนเวียนได้อย่างต่อเนื่อง เพราะเครื่องฟอกอากาศส่วนมากมักมีพัดลมขนาดเล็กและไม่สามารถกรองอากาศได้ทั้งห้อง

ทำไมพื้นที่ในอาคาร สถานที่ปิด จึงเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการระบาดของโควิด-19

งานวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) ของสหรัฐอเมริกา(Massachusetts Institute of Technology) ได้ระบุผลวิจัยใหม่ที่จะเปลี่ยนความเชื่อเรื่องมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอาคารสถานที่ปิด เพราะทุกครั้งที่มีการพูดคุย ตะโกน ร้องเพลง รับประทานอาหาร หรือการไอจามจากผู้ติดเชื้อ จะเกิดละอองฝอยที่มีไวรัสปะปน หรือ Droplet กระจายออกไป ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าที่ตาเห็นและน้ำหนักเบามากจนสามารถลอยในอากาศได้นาน ทำให้ผู้คนในพื้นที่นั้นเสี่ยงรับเชื้อไม่แพ้กัน เพราะอากาศไม่ถ่ายเทเหมือนสถานที่โล่งแจ้ง
หนึ่งในวิธีการตรวจสอบค่าการระบายอากาศในอาคาร คือการวัดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในห้องปิด ซึ่งเกิดจากการหายใจของมนุษย์ ด้วยเครื่องวัดคุณภาพอากาศที่ได้มาตรฐาน โดยตามข้อกำหนดของคณะกรรมาธิการด้านสุขอนามัยอากาศภายในอาคารของสำนักงานสิ่งแวดล้อมแห่งสหพันธรัฐเยอรมัน ระบุว่าในสภาวะอากาศถ่ายเทเพียงพอความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ควรมีค่าน้อยกว่า 1,000 ppm (0.1 vol%) หากสูงกว่านั้นควรเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท เป็นการลดความเข้มข้นของเชื้อไวรัสในอากาศ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงที่คนจะติดเชื้อได้มากขึ้น แต่การเปิดประตู-หน้าต่างอาจไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ตรงจุดเท่าไหร่ เพราะภายนอกอาคารก็เต็มไปด้วยมลพิษอย่างฝุ่น PM2.5 ควัน ไอเสียจากรถยนต์ ก๊าซพิษ สารเคมี ซึ่งล้วนเป็นปัญหาต่อสุขภาพและการหายใจเช่นกัน

IQAir AirVisual Pro can measure CO2 in the room from human breathing

ถ้าจะกลับมาเปิดร้าน ควรเลือกฆ่าเชื้อด้วยวิธีไหน

ถ้าร้านของคุณเพิ่งกลับมาเปิดใหม่หรือเคยมีประวัติมีผู้ติดเชื้อ แน่นอนว่าการฆ่าเชื้อด้วยวิธีแบบทำครั้งเดียว อย่างการพ่นฆ่าเชื้อหรือใช้รังสียูวีย่อมเรียกความมั่นใจจากลูกค้าขึ้นมาได้เป็นครั้งคราว แต่ในแง่ของสุขภาวะของลูกค้าหรือคนที่เข้ามาประจำ รวมถึงพนักงานและเจ้าของธุรกิจ เมื่อมีคนไอหรือจามจะเกิดละอองฝอย (Droplet) มหาศาลที่อาจแฝงไปด้วยสิ่งปะปนต่าง ๆ อาจเป็นทั้งไวรัสและแบคทีเรียที่แพร่ในอากาศได้ (Airborne) ในระยะยาวจึงควรที่จะต้องมีเครื่องฟอกอากาศที่มีแผ่นกรองประสิทธิภาพเพียงพอในการกรองสิ่งเหล่านี้ และที่สำคัญคือการหมุนเวียนอากาศ ทั้งการเปิดประตูหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทเป็นครั้งคราวและการกรองอากาศอย่างต่อเนื่องจะช่วยลดความเสี่ยงได้ตามที่สถาบันต่าง ๆ แนะนำ

เครื่องฟอกอากาศประสิทธิภาพสูง IQAir HealthPro Series

เครื่องฟอกอากาศประสิทธิภาพสูงอย่าง IQAir HealthPro Series นั้น เลือกใช้แผ่นกรองระดับ HyperHEPA ที่จดสิทธิบัตรเฉพาะ และเป็นแบบที่ผลิตจากวัสดุใยแก้วแท้ ซึ่งมีคุณสมบัติของเส้นใยที่ซับซ้อนและละเอียดถี่กว่าแบบสังเคราะห์และประจุไฟฟ้าสถิตคงอยู่บนเส้นใยตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยจับยึดสสารที่กรองไว้ไม่ให้หลุดกลับออกมา อีกทั้งแผ่นกรองมีขนาดใหญ่หลายตารางเมตรแต่พับลงในองศาที่ออกแบบมาเฉพาะ จึงทำให้ประสิทธิภาพการกรองยังคงอยู่เหมือนวันแรกได้นานหลายปี พร้อมพัดลมประสิทธิภาพสูงที่หมุนเวียนอากาศได้ถึง 440 ลบ.ม. ต่อชั่วโมง ซึ่งเหมาะกับทั้งพื้นที่ใหญ่ที่จะครอบคลุมได้กว้าง และพื้นที่เล็กที่จะได้รอบการกรองที่สะอาดขึ้นด้วยความถี่ที่มากกว่า สิ่งที่ IQAir ยึดมั่นคือคุณภาพที่ทุกเครื่องจะต้องผ่านการวัดจริง (ไม่ใช่การวัดแค่เครื่องต้นแบบ) ให้ได้ประสิทธิภาพอย่างน้อย 99.97% พร้อมใบ Certificate รับรอง และผ่านมาตรฐานที่เข้มงวดของยุโรป European Norm EN1822 ทำให้ IQAir เป็นเครื่องฟอกอากาศที่ถูกใช้ทั้งในบ้านพักอาศัยและโรงพยาบาล

เกี่ยวกับ IQAir

IQAir เป็นบริษัทสัญชาติสวิสที่มีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีการฟอกอากาศ โดยมีจุดมุ่งหมายช่วยให้บุคคล องค์กรและชุมชนสามารถสูดอากาศบริสุทธิ์ ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลคุณภาพอากาศและการทำงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั่วโลก นับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 2506 IQAir เป็นผู้นำระดับโลกและดำเนินงานในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก

สินค้าแนะนำในบทความ

HealthPro 250

เครื่องฟอกอากาศอันดับ 1 สำหรับผู้ป่วยโรคภูแพ้และหอบหืด เทคโนโลยีแผ่นกรอง HyperHEPA หยุดยั้งแม้แต่อนุภาคที่เล็กที่สุด

IQAir HP250 - Rear view- Air purifier

AirVisual Pro

เครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศพกพา พร้อมเลเซอร์สแกนเนอร์ที่ล้ำสมัยตรวจจับ PM2.5 ได้อย่างแม่นยำ แสดงข้อมูลแบบเรียลไทม์ CO2, AQI, อุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์

AirVisual Pro compare side by side